วิธีเลือกสีทาบ้าน

How to choose color - COVER

เวลาทาสีบ้านนั้นนอกจากอุปกรณ์ที่เราเลือกใช้แล้ว เรื่องของสีก็ไม่แตกต่างกัน เพราะสีก็เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทาสี และนอกจากนี้เวลาไปที่ร้านสีก็จะพบกับสีมากมายหลายประเภท หลายเกรด หลังเส็จแล้วพื้นผิวเป็นยังไงบ้างไม่รู้ว่าต้องเอาแบบไหนถึงจะเหมาะกับงานของเราอีก วันนี้เราจะมาสอนวิธีการเลือกสีทาบ้าน และเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับการเลือกสีทาบ้านให้ฟังกันครับ


ประเภทของสีทาบ้าน

สีทาบ้านแบ่งหลักๆได้ 3 ประเภท ดังนี้

  1. สีทาภายนอก – จะเป็นสีน้ำอะครลิก ที่ไว้ทาภายนอก มีคุณสมบัติทนทานต่อสภาพอากาศ ทนต่อแดดและฝน คุณสมบัติก็จะมีแตกต่างกันไปตามส่วนผสมของแต่ละแบรนด์และยี่ห้อนั้นๆ สามารถทาภายในได้ด้วยเช่นกัน หากที่ตรงนั้นต้องการสีที่คงทนทานต่อสภาพอากาศและแดดเป็นพิเศษ แต่ด้วยราคาที่สูงกว่าสีทาภายในจึงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กับผนังทั่วไป
  2. สีทาภายใน – จะเป็นสีน้ำอะคริลิกเหมือนกัน แต่ใช้สำหรับทาภายในเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับภายนอกเพราะความทนทานจะน้อยกว่าจึงไม่ทนทานเท่าสีทาภายนอก
  3. สีทารองพื้น – เป็นสีสำหรับทาชั้นแรกก่อนที่จะทาสีทั่วไป เพราะจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะของสีทาบ้าน กับ พื้นผิว ช่วยให้แก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังจากการทาสีทับหน้าแล้ว โดยสีรองพื้นแบ่งได้ 2 แบบ คือ สีรองพื้นทาปูนใหม่ สำหรับผนังใหม่ และ สีรองพื้นปูนเก่า ซึ่งจะช่วยให้ยึดเกาะได้ดีกว่าสำหนับผนังเก่า หรือ เมื่อเวลาที่ต้องการทาทับสีเดิม เพราะฉะนั้นเราควรเลือกสีรองพื้นให้เหมาะกับพื้นผิวที่เราจะทาสี

เกรดหรือคุณภาพของสี

นอกจากคุณสมบัติของสีและประเภทแล้ว แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่าสีที่เราใช้นั้นอยู่ในเกรดใด เพราะสีทาบ้านนั้นจะถูกแบ่งเป็นเกรดตามคุณภาพนั้นๆ โดยจะแตกต่างกันตรงความคงทนของสี และอายุการใช้งาน ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็จะมีหลายเกรดแตกต่างกันไป โดยจะแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้

  1. เกรดพรีเมี่ยมสูงสุด (Ultra Premium) – อายุการใช้งานได้ประมาณ 15 ปี ความทนทานสูงมาก และสีไม่จางไม่ลอกร่อนง่าย
  2. เกรดพรีเมี่ยม (Premium) – อายุการใช้งานประมาณประมาณ 10 ปี ทนทานต่อสภาวะต่างๆ ได้ดีเยี่ยม
  3. เกรดมาตรฐาน (Standard) –  อายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 5-7 ปี เป็นระดับกลาง และขายดีที่สุด
  4. เกรดอีโคโนมี่ (Economy) – อายุการใช้งานแค่ 1-3 ปีเท่านั้น เหมาะกับงานทีต้องทาสีบ่อยๆเช่นบ้านเช่าห้องเช่า หรือ งานทำพร็อพ ทำฉากต่างๆ เป็นต้น

ระดับความเงาของสี

หลังจากทาสีเส็จเราจะมาดูเรื่องของ ควาวเงา หรือ ที่เรียกว่า Finishing ของฟิลม์สีทาบ้าน หลักๆแบ่งเป็น 4 ประเภท ตามการสะท้อนแสงของพื้นผิวสี ดังนี้

  1. แบบด้าน (Matt) – ระดับความเงาแบบด้าน จะช่วยในการอำพรางพื้นผิวที่ไม่เรียบ หรือรอยต่างๆ และลดการสะท้อนแสง เหมาะกับการทาในห้องที่ไม่ต้องใช้แสง แถมยังช่วยในเรื่องของความสวยงาม และให้ความเรียบเนียนหรูหรากับห้องนั้นๆ
  2. แบบเนียน (Sheen) – ระดับความเงานี้จะอยู่ระหว่างกึ่งเงากึ่งด้าน เป็นสีที่มีความวาวต่ำ และง่ายต่อการทำความสะอาด สีระดับนี้จะเหมาะกับการทาพื้นที่ที่มีแสง เพราะเมื่อโดนแสงแล้วสีจะออกมานวลเนียนเงางาม
  3. แบบกึ่งเงา (Semi-Gloss) – ระดับความเงานี้จะเงาแบบพอดีๆ และง่ายต่อการทำความสะอาด เหมาะกับห้องที่ต้องการความเงาบ้างแต่ไม่มากจนเกินไป สามารถใช้ในการทำให้บ้านมีมิติมากขึ้นได้หรือไฮไลท์รายละเอียด โดยใช้สีระดับกึ่งเงานี้กับบริเวณนั้นๆ
  4. แบบเงา (Gloss) – ความเงาระดับนี้จะมีความเงาที่สุด นั้นหมายความว่าฟิล์มนี้จะง่ายต่อการความทำสะอาดอย่างมาก เหมาะกับห้องที่มีแสงกระทบ เพราะจะทำให้ห้องดูสว่าง หรูหรา สวยงาม

ขอบคุณภาพจาก : https://www.toagroup.com/th/home


อุปกรณ์

พอเราเข้าใจเรื่องของสีแล้วก็จะรู้ว่าสีนั้นไม่ได้เป็นเหมือนๆกัน แต่ละตัวก็จะมีความแตกต่างกันไปกับงานนั้นๆ เพราะการใช้สีที่ไม่ได้เหมาะสมกับงานของคุณอาจทำให้อายุการใช้งานและประสิทธิภาพลดลงได้ เพราะฉะนั้นการเลือกสีให้ตรงงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้อุปกรณ์ทาสีก็มีผลด้วยเช่นกัน  อุปกรณ์ทาสีก็มีหลายคุณภาพ ที่แตกต่างกัน ซึ่งก็ส่งผลให้งานมีความเรียบเนียนไม่เท่ากัน รวมไปถึงความสะดวกรวดเร็วในการทำงาน ถ้าเราใช้ลูกกลิ้งไม่ตรงตามประเภท ก็อาจทำให้ผลงานออกมาประสิทธิภาพต่ำ และอายุการใช้งานน้อยได้

สามารถดูสินค้าของเราได้ที่:
https://shopee.co.th/maru_t_th/
https://www.lazada.co.th/shop/maru-t-thailand/


Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top